PM2.5 จากการจราจร สำคัญแค่ไหน
ในปัจจุบัน ปัญหามลพิษทางอากาศได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรทั่วโลก หนึ่งในปัจจัยที่มีผลอย่างมากต่อมลพิษทางอากาศคือ “PM2.5” หรือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร โดยเฉพาะจากแหล่งกำเนิดการจราจรในเมืองใหญ่ที่มีรถยนต์และยานพาหนะจำนวนมาก คำถามคือ เรารู้จัก PM2.5 ดีพอหรือยัง? และเราจะช่วยลดผลกระทบจากฝุ่นชนิดนี้ได้อย่างไร บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจแหล่งที่มา ผลกระทบ และแนวทางแก้ไขที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 จากการจราจร
PM2.5 คืออะไร และมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร?
PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ประมาณ 30 เท่า ขนาดที่เล็กนี้ทำให้มันสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย ผลกระทบของ PM2.5 ต่อสุขภาพมีหลากหลาย เช่น
การสูดดม PM2.5 ในระยะยาวสามารถทำให้เกิดโรคปอดอักเสบ หอบหืด หรือโรคถุงลมโป่งพองได้
PM2.5 สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง และหลอดเลือดสมองตีบ
เด็กและผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความไวต่อ PM2.5 มากที่สุด เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์หรือเสื่อมถอย
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ความเข้มข้นของ PM2.5 ที่ปลอดภัยไม่ควรเกิน 5 µg/m³ (เฉลี่ยรายปี) ซึ่งในหลายเมืองใหญ่กลับมีค่าฝุ่นละอองสูงกว่านี้หลายเท่า ซึ่งการจราจรเป็นหนึ่งในแหล่งสำคัญของ PM2.5
จากการวิจัยของ European Environment Agency (EEA) พบว่า การจราจรเป็นแหล่งปล่อยมลพิษ PM2.5 คิดเป็น 20-30% ของปริมาณมลพิษในเมืองใหญ่ของยุโรป ขณะที่ในประเทศกำลังพัฒนา ตัวเลขนี้อาจสูงขึ้นเนื่องจากการใช้รถยนต์เก่าและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำ
ความสัมพันธ์ระหว่าง PM2.5 กับระยะห่างจากถนน
มีการศึกษามากมายที่ยืนยันว่าระดับความเข้มข้นของ PM2.5 จะสูงขึ้นในบริเวณใกล้ถนนที่มีการจราจรหนาแน่น โดยความเข้มข้นจะลดลงเมื่อระยะห่างจากถนนเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อระดับ PM2.5 บริเวณถนน ได้แก่
- ปริมาณการจราจร ยิ่งจำนวนรถยนต์มากเท่าไหร่ การปล่อย PM2.5 ก็จะยิ่งสูงขึ้น
- ประเภทของยานพาหนะ รถยนต์ดีเซลปล่อย PM2.5 มากกว่ารถยนต์เบนซิน โดยเฉพาะรถบรรทุกและรถโดยสารขนาดใหญ่
- ความเร็วของรถ การขับขี่ด้วยความเร็วสูงและการเร่งเครื่องบ่อยๆ ทำให้เกิด PM2.5 มากขึ้น
- สภาพถนนและการไหลเวียนของอากาศ สภาพถนนที่ไม่ดีและการไหลเวียนของอากาศที่ไม่ดี ทำให้ PM2.5 สะสมในบริเวณนั้นมากขึ้น
- สิ่งกีดขวาง อาคารสูงหรือต้นไม้ริมถนนสามารถช่วยลดการกระจายตัวของ PM2.5 ได้บ้าง แต่ก็อาจทำให้เกิดการสะสมตัวของ PM2.5 ในบางพื้นที่ได้เช่นกัน
ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ถนน
การได้รับสัมผัส PM2.5 ในระยะยาว ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ถนนที่มีการจราจรหนาแน่น มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
- โรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และการติดเชื้อทางเดินหายใจ
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และความดันโลหิตสูง
- โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด
- ผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก การได้รับ PM2.5 ในช่วงวัยเด็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและระบบทางเดินหายใจ
- ผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักแรกเกิดน้อย
PM2.5 เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ถนนที่มีการจราจรหนาแน่น การตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่าง PM2.5 กับระยะห่างจากถนน และการปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันตนเอง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อผลกระทบต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพของทุกคน
ที่มา
“การประมาณค่าเชิงพื้นที่สำหรับการวิเคราะห์การแพร่กระจายฝุ่นละออง” ได้ใช้แนวทางการเลือกสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศทั่วไป โดยกำหนดระยะห่างจากถนนที่มีการจราจรหนาแน่นประมาณ 100 เมตร เพื่อศึกษาการแพร่กระจายของฝุ่นละอองในพื้นที่ต่าง ๆ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/Itech/article/view/249709/172234
“ขนาดการกระจายตัวของฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 และ 2.5 ไมครอน และความแตกต่างของขนาดการกระจายตัวของฝุ่นละอองขนาดเล็กจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ รวมถึงการจราจร
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/gskku/article/download/241290/165975/858065